21/09/2024

ผลข่าว ข่าววันนี้ ข่าวล่าสุด อัพเดทข่าวสาร ข่าวสด

ผลข่าว อัพเดทข่าวสาร ข่าวสด ข่าววันนี้ ข่าวล่าสุด 24 ชั่วโมง

เบี้ยผู้สูงอายุ 60 ปี เกณฑ์ใหม่ รัฐประหยัดงบหรือลดสวัสดิการ

เบี้ยผู้สูงอายุ

เกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุฉบับใหม่ของกระทรวงมหาดไทย มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป เกณฑ์ใหม่กำหนดให้ผู้สูงอายุที่จะได้รับเบี้ยยังชีพต้องเป็นผู้ไม่มีรายได้หรือรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพเท่านั้น เกณฑ์ใหม่นี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่ายว่าเป็นการลดสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุและเป็นการซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ อ่านข่าวเพิ่มเติม

ผู้วิพากษ์วิจารณ์ระบุว่า เกณฑ์ใหม่นี้จะทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากที่ไม่สามารถหารายได้ได้หรือมีรายได้น้อยไม่สามารถได้รับเบี้ยยังชีพ ผู้สูงอายุเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในชนบทหรือชนชั้นแรงงาน เกณฑ์ใหม่นี้จะทำให้ผู้สูงอายุเหล่านี้มีรายได้น้อยลงและยากลำบากในการดำรงชีวิต

อีกทั้งผู้วิพากษ์วิจารณ์ยังระบุว่า เกณฑ์ใหม่นี้เป็นการซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ ผู้สูงอายุที่ร่ำรวยยังคงสามารถได้รับเบี้ยยังชีพแม้ว่าจะมีรายได้มาก ในขณะที่ผู้สูงอายุที่ยากจนไม่สามารถได้รับเบี้ยยังชีพ แม้ว่าจะมีรายได้น้อย เกณฑ์ใหม่นี้ทำให้ผู้สูงอายุที่ยากจนยิ่งยากลำบากมากขึ้น

เบี้ยผู้สูงอายุ

เกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุฉบับใหม่เป็นประเด็นที่สังคมไทยกำลังถกเถียงกันอยู่ ยังไม่มีข้อสรุปว่าเกณฑ์ใหม่นี้ดีหรือไม่ดี

หลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุฉบับใหม่ของกระทรวงมหาดไทย ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 11 ส.ค. นับได้ว่าเป็นการสิ้นสุดการจ่ายเบี้ยยังชีพคนชราแบบ “ถ้วนหน้า” ที่ดำเนินมากว่า 14 ปี

รัฐบาลอ้างว่า เกณฑ์ใหม่นี้เป็นการประหยัดงบประมาณ รัฐบาลระบุว่า เกณฑ์ใหม่จะทำให้รัฐประหยัดงบประมาณได้ 30,000-40,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ผู้วิพากษ์วิจารณ์ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรประหยัดงบประมาณโดยการลดสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุ รัฐบาลควรหาวิธีอื่นในการประหยัดงบประมาณ เช่น ตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

เบี้ยยังชีพคนชรา หรือ "เบี้ยคนแก่" คืออะไร

เบี้ยยังชีพคนชรา หรือ “เบี้ยคนแก่” คือ เงินบำนาญผู้สูงอายุที่มีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป เริ่มขึ้นในประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2552 ด้วยการใช้ระบบขึ้นทะเบียนก่อนเปลี่ยนแปลงเป็นการยืนยันสิทธิ โดยไม่มีเงื่อนไขหรือคุณสมบัติด้านรายได้ มีเพียงการระบุว่าจะต้องไม่เป็นผู้รับสวัสดิการอื่นอยู่ก่อนแล้ว

แต่ใน “ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566” ลงนามโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2566 

ซึ่งเป็นช่วงของรัฐบาลรักษาการ โดยมีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพว่า “เป็นผู้ที่ไม่มีรายได้หรือรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติตามที่กฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด”

แต่อย่างไรก็ตาม ประกาศฉบับนี้ระบุว่า ผู้สูงอายุที่ขึ้นทะเบียนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก่อนการประกาศใช้ระเบียบนี้ ให้ยังคงได้รับสิทธิต่อไป

ตัวเลขผู้สูงอายุในประเทศไทย ณ สิ้นปี 2565 จากฐานข้อมูลของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีอยู่กว่า 12.6 ล้านคน เป็นผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพราว 11 ล้านคน นอกนั้นเป็นผู้สูงอายุในกลุ่มข้าราชการเกษียณอายุที่รับเงินบำนาญจากรัฐ

สำหรับโครงสร้างอายุของผู้สูงอายุในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่พบอยู่ในกลุ่มอายุ 60-69 ปี คิดเป็นจำนวนกว่า 56% หรือราว 7.1 ล้านคน

ผลจากประกาศฉบับนี้จะส่งผลให้ประชาชนที่จะมีสิทธิรับเบี้ยยังชีพคนชราในอนาคต จะต้องถูกตรวจสอบคุณสมบัติด้านรายได้ จากเดิมที่เป็นระบบการขึ้นทะเบียนยืนยันสิทธิ โดยไม่มีการเช็คคุณสมบัติสถานะทางเศรษฐกิจมาก่อน

ด้าน น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กวันที่ 14 ส.ค. ว่า การปรับเกณฑ์จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ยืนยันว่ารายเดิมยังได้อยู่ ส่วนเกณฑ์ใหม่รอคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติกำหนด พร้อมขอผู้สูงอายุที่มีฐานะเข้าใจรัฐบาล

“ขอให้ผู้สูงอายุที่มีฐานะเข้าใจ เป็นการปรับเพื่อใช้งบกับกลุ่มที่จำเป็นหรือเดือดร้อนกว่า แก้ปัญหาอย่างพุ่งเป้า และสร้างความยั่งยืนทางการคลังระยะยาว ปี 2567 งบเบี้ยยังชีพแตะ 90,000 ล้านบาท จากก่อนหน้าที่ 50,000 ล้านบาท เพิ่มเรื่อย ๆ เป็น 80,000 ล้านบาท”

เบี้ยผู้สูงอายุ ใครเกี่ยวข้องกับการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ

การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลสวัสดิการสังคมของประชากรในพื้นที่ อปท. แต่ละแห่งจะกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุที่แตกต่างกันไป แต่โดยหลักแล้ว อปท. จะจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุให้กับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ อปท. นั้น ๆ

นอกจาก อปท. แล้ว ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ได้แก่

  • กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นผู้รับผิดชอบนโยบายและแผนงานด้านผู้สูงอายุของประเทศไทย พม. สนับสนุนงบประมาณให้กับ อปท. เพื่อจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
  • กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวง พม. เป็นหน่วยงานที่ดูแลงานด้านผู้สูงอายุโดยเฉพาะ กรมกิจการผู้สูงอายุให้ความรู้และคำแนะนำแก่ อปท. ในการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
  • คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติมีหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนงานด้านผู้สูงอายุของประเทศไทย คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุของ อปท.

ส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวง พม. ตัวประกาศอ้างอิงว่า เกณฑ์ของการรับเบี้ยคนชราให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เป็นผู้กำหนด 

ขณะนี้ยังไม่มีข้อกำหนดชุดนี้ออกมา หลังจากเมื่อเดือน ก.ค. 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ก็ได้ออกมาประกาศยกเลิกระเบียบฉบับเก่าของปี 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติมในปี 2565 ไปแล้ว

สำหรับความแตกต่างระหว่างระเบียบกระทรวงมหาดไทย ฉบับล่าสุด และระเบียบฉบับเดิมเมื่อปี 2552 คือ การเปลี่ยนแปลงในคุณสมบัติ ที่มีข้อความระบุว่า ผู้มีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพ ต้องไม่เป็นผู้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ 

รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ผู้รับเงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน รวมถึงต้องไม่เป็นผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐหรือ อปท. แต่ระเบียบล่าสุดในปี 2566 ไม่มีการระบุข้อความนี้

เบี้ยผู้สูงอายุ
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รักษาการ รมว.กระทรวงมหาดไทย

พิสูจน์ความจน ระบบที่ทำให้คนตกหล่น

นิติรัตน์ แจงว่า เกณฑ์ที่ต้องจ่ายให้กับผู้ไม่มีรายได้ หรือรายได้ไม่เพียงพอ ต้องใช้งบประมาณในการจัดทำระบบคัดกรองผู้มีสิทธิ และจากการจ่ายสวัสดิการรัฐที่ผ่านมา เช่น เงินอุดหนุนเด็ก หรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็ยังพบว่ามีผู้ที่เข้าไม่ถึง

“ตัวระบบพิสูจน์ความจน หากมีเงื่อนไขต่าง ๆ เกิดขึ้น จะยิ่งทำให้คนจนเข้าไม่ถึง… อย่างเงินอุดหนุนเด็ก งานวิจัยระบุชัดเจนว่า เด็กที่เกิดในครอบครัวยากจนจะเข้าไม่ถึงสิทธินี้ถึง 30% ด้วยกัน และระบบถ้วนหน้าซึ่งเป็นสิทธิเสมอกันจะทำให้เด็กเหล่านี้เข้าถึงโดยอัตโนมัติ แม้ว่าจะต้องมีการลงทะเบียน แต่เมื่อมันไม่ต้องมีการพิสูจน์ มันจะต้องเป็นสิทธิที่เข้าถึงเลย”

เบี้ยผู้สูงอายุ

นักเคลื่อนไหวด้านรัฐสวัสดิการ ได้อธิบายว่า เมื่อเทียบกับระบบบัตรทองหรือสิทธิหลักประกันสุขภาพที่ใช้ระบบถ้วนหน้า ทำให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาพยาบาล ถึงแม้ว่าจะมีการตกหล่นก็เป็นเพียงส่วนน้อย 3-4% ดังนั้น ระบบสวัสดิการถ้วนหน้าจึงมีประสิทธิภาพในการทำให้ประชาชนเข้าถึงสวัสดิการได้มากกว่า

จากงานวิจัยเรื่องเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดที่ นิติรัตน์ กล่าวถึง คือ งานวิจัยของ ดร.สมชัย จิตสุชน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่ศึกษาประเมินการดำเนินการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงเด็กแรกเกิดในปี 2562

ผลการศึกษาพบว่า มีเด็กยากจนที่ตกหล่นไม่ได้เงินอุดหนุนมากถึง 30% ด้วยกันซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 ของเด็กที่ควรได้รับประโยชน์ ส่งผลให้เด็กกลุ่มนี้ขาดโอกาสที่จะมีภาวะโภชนาการที่ดี และขาดการเข้าถึงบริการของรัฐ