ฟกช้ำดำเขียวง่าย อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคร้ายที่คาดไม่ถึง
หากเราประสบอุบัติเหตุบางอย่างหรือเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น บางส่วนของร่างกายอาจชนกระแทกกับของแข็ง จนเกิดเป็นรอยฟกช้ำขึ้นได้ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่อยู่เฉย ๆ กลับมีรอยจ้ำเลือดปรากฏขึ้นตามตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยา (hematology) ออกมาเตือนว่านี่อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงโรคร้ายแรงที่แอบแฝงอยู่ก็เป็นได้ อ่านข่าวเพิ่มเติม
ศาสตราจารย์ ซุนนัต-เรน พาซรีชา นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัยทางการแพทย์วอลเทอร์และเอไลซาฮอลล์ (WEHI) ออสเตรเลีย ได้อธิบายถึงประเด็นในข้างต้นโดยบทความของเขาที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ The Conversation ไว้ดังนี้
ศ.พาซรีชา กล่าวว่า ผู้ใหญ่ราว 18% ทั่วโลกมีอาการฟกช้ำดำเขียวง่าย ทั้งที่ไม่ได้เดินสะดุดหกล้ม หรือแขนขาไปกระแทกเข้ากับของแข็งใดทั้งสิ้น ทำให้เราต้องย้อนกลับไปพิจารณาว่า การทำงานของระบบหมุนเวียนโลหิตในร่างกายของคนนั้นมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง
อันที่จริงแล้ว เลือดของคนเราก็คือของเหลวที่เป็นตัวนำพาออกซิเจนและเซลล์ภูมิคุ้มกันไปยังกล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ โดยในเลือดนั้นมีสารที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราเลือดออกไม่หยุดจนตาย และสารที่ลดความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือดรวมอยู่ด้วย
หากเส้นเลือดได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะแตก หรือฉีกขาด มีรูรั่ว เกล็ดเลือด จะจับตัวกับผนังเส้นเลือดเพื่อซ่อมแซมส่วนนั้นโดยทันที นอกจากนี้ โปรตีนสร้างลิ่มเลือดหลายชนิด ยังเข้ามารวมตัวกับเกล็ดเลือด ทำให้เลือดที่อยู่ในบริเวณนั้นข้นขึ้นจนเป็นวุ้น
กลายเป็นลิ่มเลือดที่ระงับอาการเลือดไหลออกอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เราไม่มีเลือดออกใต้ผิวหนังมากเกินไปจนกลายเป็นจ้ำเลือดขนาดใหญ่นั่นเอง
เนื่องจากเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดถูกผลิตขึ้นที่ไขกระดูก ส่วนโปรตีนที่ทำให้เกิดลิ่มเลือดถูกผลิตขึ้นที่ตับ ดังนั้นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเกล็ดเลือด โปรตีนสร้างลิ่มเลือด หรือเส้นเลือดของเรา อาจมาจากอวัยวะสำคัญอื่น ๆ ที่เราคาดไม่ถึงก็อาจจะเป็นไปได้
ฟกช้ำดำเขียวง่าย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโลหิตวิทยา ได้ให้ความสำคัญกับปัญหานี้เป็นพิเศษในการตรวจวินิจฉัยโรค หากคนไข้มีรอยฟกช้ำหรือจ้ำเลือดขนาดใหญ่ที่แผ่กระจายไปทั่วร่าง รวมถึงมีเลือดกำเดาไหลบ่อยและประจำเดือนมามากผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เลือดออกมากหลังการผ่าตัด ทำฟัน คลอดบุตร หรือมีเลือดออกมากอย่างฉับพลันในกระดูกข้อต่อหรือสมอง
แพทย์จะแนะนำให้คนเหล่านี้ตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยอาการข้างต้นอย่างละเอียด โดยเริ่มจากการตรวจนับเซลล์ทุกชนิดที่มีอยู่ทั้งหมดในเลือด (Full Blood Count – FBC) โดยจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเกล็ดเลือดด้วยว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหน
หากคนไข้มีเกล็ดเลือดที่ต่ำเกินไป นั่นอาจหมายความว่าไขกระดูกทำงานผิดปกติ หรือเกล็ดเลือดถูกภูมิคุ้มกันขจัดออกจากกระแสโลหิตเร็วเกินไปก็เป็นได้ (Immune Thrombocytopenic Purpura – ITP)
โรคเกล็ดเลือดต่ำเพราะภูมิคุ้มกันหรือเรียกว่า ITP มักเกิดขึ้นหลังมีการติดเชื้อไวรัส แต่ก็มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่จู่ ๆ ก็มีอาการของโรคนี้ขึ้นมาเองจนทำให้ผิวหนังเกิดรอยฟกช้ำดำเขียวเล็ก ๆ ทั่วร่างกายคล้ายกับเป็นผื่น หากเป็นคนไข้เด็กอาการนี้จะเป็นอยู่เพียงชั่วคราวและหายไปได้เอง
แต่สำหรับผู้ใหญ่โรคนี้ค่อนข้างร้ายแรง และแพทย์จะต้องให้ยากดภูมิคุ้มกัน ยากระตุ้นการสร้างเกล็ดเลือด หรือบางรายอาจจะต้องผ่าตัดเอาม้ามออกไปด้วย
โรคเลือดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมในเพศชาย ตัวอย่างเช่น ฮีโมฟีเลียชนิดเอ (Haemophilia A) เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดรอยฟกช้ำตามตัวได้ง่าย เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตโปรตีนสร้างลิ่มเลือดบางชนิด
อีกทั้งยังมีโรคฟอนวิลลีแบรนด์ (von Willebrand disease) ถ่ายทอดทางพันธุกรรมและพบได้ทั้งเพศชายและหญิง โดยจะทำให้โปรตีนสร้างลิ่มเลือดหลายชนิดมีน้อยหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
การตรวจหาความผิดปกติของโปรตีนสร้างลิ่มเลือด จะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมที่กล่าวมาจากข้างต้น รวมถึงอาจตรวจสอบการทำงานของตับเพิ่มเติมด้วย เนื่องจากโรคตับส่งผลให้การผลิตโปรตีนสร้างลิ่มเลือดต่ำกว่าปกติได้
การขาดวิตามิน C ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เลือดออกตามไรฟันและเกิดรอยฟกช้ำตามตัวง่าย นอกจากนี้ โรคภูมิคุ้มกันต่อต้านตัวเองบางชนิดอย่าง Henoch-Schonlein Purpura ยังทำให้ผนังเส้นเลือดเกิดการอักเสบและบางลง จนเกิดจ้ำเลือดที่ขาหรือสะโพก ส่วนคนชราที่ผิวหนังและเส้นเลือดอ่อนแอก็มักจะฟกช้ำดำเขียวได้ง่ายเช่นกัน
ยาบางชนิดเช่นแอสไพริน ยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือด clopidrogrel และยาต้านการอักเสบกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) อย่างไอบูโพรเฟน จะส่งผลให้เกล็ดเลือดทำงานได้ไม่ดีนัก ส่วนยาต้านการแข็งตัวของเลือดเช่น warfarin, apixaban, rivaroxaban ทางแพทย์จ่ายให้ผู้ป่วยที่เสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองสูง ก็อาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำดำเขียวได้ง่ายเช่นกัน
การสูดดมหรือรับประทานยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) เป็นระยะเวลานาน จะทำให้ผิวหนังและเส้นเลือดบางลง ส่วนวิตามิน E สารสกัดจากแปะก๊วย (gingko) และยาต้านโรคซึมเศร้าบางชนิด ก็มีผลข้างเคียงในแบบเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม บุคคลที่พบว่าตนเองมีรอยจ้ำเลือดขึ้นตามร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุไม่ควรวิตกกังวลหรือเครียดจนเกินไปนัก หากคุณไม่มีประวัติโรคทางพันธุกรรมหรือความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันมาก่อน ไม่มีอาการเลือดออกมากผิดปกติทางอวัยวะอื่นร่วมด้วย รวมทั้งผลตรวจนับเซลล์ในเลือด และผลทดสอบการทำงานของโปรตีนสร้างลิ่มเลือด ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ
เครดิต BBC.COM
เรื่องราวเพิ่มเติม
บริษัท AstraZeneca ยอมรับวัคซีนโควิด19 เสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน
น้องแคร์หายตัว สาววัย 26 ปี หายตัวปริศนาถูกจับตัวที่มาเลเซีย
แพทย์นิติเวช เผยการเสียชีวิตผู้รับวัคซีนโควิด19 mRNA ไม่จริง